VPN หรือ Virtual Private Network นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเน็ตเวิร์กปลายทาง เหมือนกับเรานั่งทำงานอยู่ที่นั่นโดยตรง เช่นการเข้าใช้งาน VPN ภายใน Office ก็เหมือนกับเราใช้ IP ภายใน office และ เข้าถึงทรัพยากรภายในสถานที่ดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่ใดๆ ก็ตาม ซึ่งในส่วนของ Client เราก็จะต้องใช้งานผ่าน VPN Client
สำหรับในด้านเทคโนโลยีที่ทำให้เราใช้งาน VPN ได้นั้น ที่ใช้งานส่วนใหญ่ก็จะมีดังนี้
- IPSec VPN ซึ่งอนุญาตให้เราใช้งานแบบ Remote Access และ Site-to-Site คิดค้นมาตั้งแต่ปี 1995 โดยประมาณ การตั้งค่าค่อนข้างซับซ้อน
- SSL VPN ก็มีการคิดค้นตั้งแต่ปี 1996 โดยประมาณ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถใช้แบบ Site-to-Site ได้
- OpenVPN ในช่วงปี 2001 ทำงานได้ทั้งแบบ Site-to-Site และ Remote Access การติดตั้งดีขึ้น หรือ ง่ายขึ้น แต่เรื่องเทคโนโลยีการเข้ารหัส ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมาก
- WireGuard ในช่วงปี 2016 ซึ่งนับว่าเป็นตัวที่ใหม่ที่สุด และ ทันสมัย การเข้ารหัสใช้เทคโนโลยี Curve25519, Chacha20 และ Poly1305 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สุด และ ที่สำคัญเร็วมาก การติดตั้งง่ายมาก สนับสนุนทั้งแบบ Remote Access, Site-to-Site, Cloud VPN
และ WireGuard นี่คือเทคโนโลยีที่ทาง Tailscale ใช้มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาต่อยอด และ เพิ่มความสามารถด้านการจัดการ และ บริหารให้ง่ายขึ้นไปอีก
ข้อดีของ Tailscale
- ทำงานข้าม platform ได้แทบทั้งหมด และ ทำงานได้บนหลาย OS ตั้งแต่ Windows, macOS, Linux, iOS, Android หรือแม้แต่ NAS / router
- ติดตั้งง่ายและเร็ว ไม่ต้องสนใจ ว่าอยู่หลัง Firewall หรือไม่
- การบริหารจากศูนย์กลาง แต่ข้อมูลไม่ผ่าน tailscale server มันทำหน้าที่เพียง co-ordinating server เท่านั้น
- ทำงานได้แบบ mesh เพื่อลด latency
- มีการควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรได้
- ทำงานใน Cloud Provider ได้
เพราะฉะนั้นหากเราดูข้อดีทั้งหมดแล้ว จะพบว่า มันคือเทคโนโลยีสำหรับการทำ VPN ที่เหมาะกับทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง เพราะตอบสนองความต้องการในทุกรูปแบบ ยืดหยุ่นและปลอดภัยในเวลาเดียวกัน
สนใจดูข้อมูลเพิ่มได้จาก https://software.avesta.co.th/tailscale/